You are currently viewing อุเพงคาปีติ

อุเพงคาปีติ

                                                                                                                อุเพงคาปีติ

           อาการของอุเพงคาปีตินี่ มีพระบวชพร้อมกับผมอยู่องค์หนึ่งคือ “พระหยวก” นี่ไม่ได้เอาเขามานินทานะ เขาสึกไปแล้ว ไม่ได้นินทา และไม่ได้พูดให้ฟัง นี่เล่าให้ฟัง หรือไง… แกนั่งอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นไปเจริญพระกรรมฐานในโบสถ์ ทำในโบสถ์ด้วยกัน 5 องค์ด้วยกัน คือพวกฉัน 4 แล้วก็พระหยวก 1
พวกเรานี่ความจริงตั้งแต่เข้าไปสามวันแรกพวกเราก็ได้ฌาน 4 หมด อานาปานุสสติกรรมฐานของเราทรง 4 องค์นี่นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการเข้าไปบวช เราตั้งใจจริง เข้าไปเพื่อพิสูจน์พระศาสนา ที่บวชน่ะต้องการพิสูจน์พระพุทธศาสนา จริงแค่ไหน ว่าพระศาสนากับเราใครจะจริงกว่ากัน แน่ะ…ตอนนั้นมันก็หนึ่งในตองอูเหมือนกันนะ หรือว่าหนึ่งในด้านระยำ ไม่ใช่หนึ่งในด้านดีละ

อยากจะรู้ว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสที่พระเทศน์น่ะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันจะจริงไหม พวกเราก็เข้าไปบวชด้วยความตั้งใจจริง และก็เอากันจริง ๆ
พิสูจน์กันด้วยการปฏิบัติ อะไรก็ตามที่หลวงพ่อปานบอกและหนังสือบอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะได้ผล พวกเราเอาชีวิตเข้าแลกกัน ถ้าเราทำจนกระทั่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้ เราก็จะไม่เชื่อพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่ามานั่งนึกเอาตามชอบใจ ใครเขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่จริงหรอก ไม่แน่หรอก มันเป็นไปได้ยังไง ไอ้แบบจิตบรมโง่แบบนี้พวกเราไม่ใช้กัน

……ทีนี้ตอนที่พวกเราเข้าไปปฏิบัติพระกรรมฐานรุ่นแรกก็เหมือนกัน พวกเราเอากันจริงด้วยการปฏิบัติเป็นการพิสูจน์ ไม่ใช่ว่านั่งฟังเขาว่า แล้วก็ไอ้นั่นไม่จริงไอ้นี่ไม่จริงนะ แบบนี้ใช้ไม่ได้ แบบนี้ไม่เลยนรก ดูนักวิทยาศาสตร์เขาซิ เขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้า พวกเรามันค้นคว้าไม่ต้องลงทุน
นี่ขณะที่นั่งอยู่ในโบสถ์นี่ พระหยวกแกได้อุเพงคาปีติ ตัวมันลอยขึ้นไปยันเพดาน ถึงเพดานกระทบกึก จิตมันก็เคลื่อน พอเคลื่อนแกก็ลงมา แกลุกพึ่บพั่บเปิดประตูปังกลางดึก ไปถึงเรียกหลวงพ่อปาน
หลวงพ่อปานท่านก็เลยออกมา ถามว่า “ทำไมล่ะ…?”
บอก “ขอเลิกครับ ไม่เอาแล้วไอ้กรรมฐานแบบนี้”
ถาม “ทำไมล่ะ…?”
“มันลอยไปแบบนี้ ดีไม่ดีผมลอยไป กลับไม่ได้ ไม่เอาแล้ว เลิก ๆ ๆ”
บอกว่าลาเลย หลวงพ่อจะอธิบายยังไงก็ตามแกไม่เอา แกบอก แกเลิก ๆ หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “เลิกก็เลิก ข้าก็ไม่ว่าอะไร มันเรื่องของแก”
พอตอนเช้าเวลาฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อแกก็เลยคุยให้ฟังว่า “เมื่อคืนนี้ท่านหยวกเขามาขอลาออกจากพระกรรมฐาน”

ถาม “ทำไมล่ะ…?”
บอก “เขาได้ถึงอุเพงคาปีติ ตัวมันก็ลอยไปถึงเพดาน และไอ้ตัวมันกลับมานั่งตามเดิม เขาขอเลิกฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่าไอ้คนกลัวดีแบบนี้มันหายากจริง ๆ นะพวกคุณนะ”
ท่านว่าอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่ากลัวดี ทีนี้ก็ต้องรู้ว่าอุเพงคาปีติ ถ้าตัวมันลอยขึ้นจากพื้นนะ มันจะลอยถึงไหนก็ปล่อยมันตามสบาย แล้วก็ระวังให้ดีนะ ถ้ามันไปลงปุ๊ที่ ไหนละก็ ต้องเดินกลับกันนะ ถ้าคนต้ังใจว่าจะทำให้ถึงอุเพงคาปีติ มาใหม่ละมันไม่เข้าแน่ เวลาปีติมันจะขึ้นต้องวางอารมณ์ให้เฉย ๆ ไม่สนใจกับอะไร มุ่งเฉพาะลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนา ต้องไม่นึกว่าเราจะได้อย่างนั้นเราจะได้อย่างนี้ ถ้าไปนึกว่าต้องการแบบนั้นแบบนี้ มันเรียกว่า “กามสุขัลลิกานุโยค” มันจะเข้าไม่ถึงนี่ถ้าหากว่ามันลอยไปแล้วถ้าจิตคิดว่าเราจะกลับ มันก็จะกลับนั่งที่เดิม จะเอาอะไรขีดไว้ก็ได้ เข่าวางถึงจดตรงไหน กันจดตรงไหนก็ตาม ขีดไว้ เวลามานั่งปุ๊บแล้วลืมตาดูไม่ผิด ไม่เคลื่อนที่ มันจะทรงตามเดิมทันที นี่ด้วยอำนาจของสมาธิ

พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์(2524),12,30-33