…………………………………………..
ถ้าใครเคยอ่านประวัติหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่าท่านโดนผีกดมือไว้ กดมือซ้าย พอเอื้อมมือขวาไปหยิบหวาย ผีก็กดมือขวาไว้ เป่าคาถาใส่ผีก็บอกว่า “กูไม่กลัว มึงท่องได้ครึ่งเดียว” ท้ายสุดหลวงพ่อท่านบอกว่าไม่มีที่พึ่งแล้ว มานึกขึ้นได้ว่า ๓ โลกนี้ไม่มีใครเหนือกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว ในเมื่อไม่มีใครเหนือกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว ผีก็ไม่มีทางเหนือที่จะกว่าพระพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น..เราขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วท่านก็ว่า “พุทโธ” เป่าทีเดียวผีหกคะเมนไปเลย
นั่นคือการที่เข้าถึง เข้าใจในตัวคาถาจริง ๆ ทำให้กำลังสมาธิทั้งหมด เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นและความเคารพอย่างแท้จริง ถ้าใครสามารถทำถึงตรงจุดนี้ได้ คาถาทุกบทนอกจากจะได้ผลแล้ว ยังได้ผลอย่างมหาศาลอีกด้วย
อย่างการใช้คาถา พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต สมาธิทรงตัวหรือไม่ ? ทรงตัวก็ได้ผล แต่ถ้าจะได้ผลเต็มที่ต้องเข้าใจว่า พระอรหัง สุคโต พระผู้หมดกิเลส ไปดีแล้ว นะเมตตาจิต ประกอบไปด้วยความเมตตา ความเมตตาในดวงจิตขนาดไหน ? พระอรหันต์ท่านเมตตาขนาดไหน ? ถ้าเข้าใจตรงนี้ ขอให้ความเมตตานี้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่นมีต่อเรา เหมือนกับที่พระอรหันต์มีต่อเรา คราวนี้คงเอาไปใช้กันมั่วแหละ เอาไปเป่าคนข้าง ๆ เลย..ลองดู…
อาตมาบอกเคล็ดลับไปแล้ว ตัวเองค้นแทบเป็นแทบตายกว่าจะเจอ แต่พวกเราเองไม่เข้าใจตรงนี้ ในเมื่อไม่เข้าใจตรงนี้ก็ได้ผลไม่เต็มที่หรอก แต่อย่าคิดเกินไปนะ เมตตาจิตคือเมตตาอย่างเดียว อย่าไปคิดถึงพรหมวิหาร ๔ เดี๋ยวจะกลายเป็นพระอรหันต์ท่านอุเบกขาขนาดไหน ? ซวยเลยคราวนี้..! ปล่อยให้เอ็งรับกรรมไปคนเดียวเถอะ เพราะท่านยอมรับกฎของกรรม วางอุเบกขาไปแล้ว..!
แล้วถามว่าคาถาอื่นล่ะ ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่า หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ มีคาถาอยู่บทหนึ่ง หลวงพ่อเรื่องท่านเปิดสำนักเรียนบาลี ลูกศิษย์ลูกหามาเรียนเป็นร้อย ๆ เลย แล้วก็มากินมาอยู่กับท่านนั่นแหละ ถ้าวันไหนข้าวไม่พอเลี้ยงพระเลี้ยงเณร ท่านจะขึ้นกุฏิไปจุดธูปไหว้พระ แล้วด่าลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน พักเดียวเท่านั้นเอง ชาวบ้านหอบเอาข้าวสารอาหารแห้ง ผักหญ้าอะไรมาถวายให้เป็นหาบ ๆ เลย พอให้พระท่านได้ฉัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามหลวงพ่อเรื่องว่า ทำไมต้องด่าหยาบคายขนาดนั้นด้วย ? หลวงพ่อเรื่องท่านว่า “ก็คาถาเป็นอย่างนั้นเองนี่หว่า..!” อันนี้ท่านตอบปัญหาเดียว คือท่านไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความลังเลสงสัยว่า คาถานี้ครูบาอาจารย์ท่านให้มา ต้องมีผลแน่นอน ต่อให้เป็นคำด่าหยาบคายขนาดไหนกูก็ไม่สนใจ ครูบอกว่าใช้ได้ก็คือใช้ได้ นี่คือการวัดว่า กำลังใจเรามีวิจิกิจฉาในครูบาอาจารย์หรือเปล่า ?
แล้วการเข้าถึงคาถาเข้าถึงอย่างไร ? เราลองมานึกว่า คนเป็นเพื่อนกัน ถ้าไม่สนิทกันจริงจะด่ากันไหม ? ต้องเพื่อนรักชนิดไล่เตะตูดกันได้ ตายแทนกันได้ใช่ไหม..? ถึงจะด่ากัน ประเภทยิ่งด่าก็ยิ่งรัก พ่อแม่ด่าเราเพราะรักเราใช่ไหมถึง ? เราไปถึง “พ่อขอสตางค์หน่อย” ด่ากระจายเลย “ไอ้ลูกล้างลูกผลาญ..!” แต่เดี๋ยวก็ควักให้แล้ว
เราต้องเข้าถึงตัวคาถาให้ได้ คำด่าก็เหมือนคำด่าของพ่อของแม่ หรือคำด่าของเพื่อนรักของเรา สักแต่ว่าด่า แต่ใจจริงพร้อมที่จะเมตตาสงเคราะห์ เราขอความช่วยเหลือ เพื่อน ๆ ก็ด่ามา “ไอ้ห่..ไม่รู้จักทำมาหาแด..หรือวะ..!” แต่ท้ายสุดก็ควักสตางค์ให้เรา ก็เหมือนกัน ก็คือลักษณะเดียวกันว่า “ด่า..แต่ให้” ถึงเวลาท่องคาถาเป็นคำด่าล้วน ๆ แล้วทำไมคนเอาของมาให้ ?
ฉะนั้น..เรื่องของการเข้าถึงพระคาถานี้บอกกันไม่ได้ ถ้าวันไหนที่เรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนในตัวพระคาถานั้นเมื่อไร เราจะใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ทันที แต่ถ้ายังเข้าถึงไม่ได้ ก็ได้ประมาณครึ่งเดียวจากสมาธิเท่านั้น เพราะขาดความเข้าใจ ความแตกฉาน และความศรัทธาเชื่อมั่นอย่างแท้จริง บอกเคล็ดลับให้แล้วนะ ไปจัดการกันเอาเอง
……………………………………..
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
……………………………………..