You are currently viewing สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น

สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น

สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น
 วันนี้มีคำถาม ถ้าหากว่ารู้ว่าใครถาม จะโบกให้สักทีหนึ่ง…! ถามว่า “หลวงพ่อครับ คนที่บรรลุธรรมเข้ามรรค ๘ ผล ๘ พระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้พยากรณ์ทุกคนไหมครับ ?” เอามาจากไหนวะ มรรค ๘ ผล ๘ ? แสดงว่าไปบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม..ใช่ไหม ? ศึกษาแล้วต้องแม่นในตำราด้วย
นวโลกุตรธรรม ธรรมอันเป็นเหนือโลกมีอยู่ ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ และพระนิพพาน ๑
มรรค ก็คือโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค
ผล ก็คือโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตผล
ไม่ใช่ว่ามรรค ๘ ผล ๘ นั่นไปไกลเกิน ถ้าคุณเขียนเลขไทย กระผม/อาตมภาพยังว่าเขียนผิด หรือไม่ก็เขียนใกล้เคียงกันแล้วกระผม/อาตมภาพอ่านผิด นี่เขียนเป็นตัวหนังสือมาเลย แ-ป-ด เปลี่ยนเป็นสี่ไม่ได้แน่นอน ต่อไปอย่าพลาดแบบนี้อีก
ผู้ที่บรรลุธรรม ถ้าหากว่าเป็นประเภทวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถที่จะรู้เห็นและติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นถึงจะได้รับการพยากรณ์จากพระองค์ท่าน แต่ถ้าหากว่าเป็นสุกขวิปัสสโก ถึงพระองค์ท่านจะพยากรณ์ให้ ก็คงไม่มีปัญญาที่จะรับรู้ ดังนั้น…ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า
แต่ว่าการเข้าถึงมรรคผลนั้น พวกคุณดูในอนัตตลักขณสูตรที่สวดกันอยู่ทุกครั้งก็ได้ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น รู้ว่าการเกิดได้สิ้นสุดลงแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ รู้ว่าพรหมจรรย์นี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็คือไม่ต้องเสียเวลาปฏิบัติให้เข้าถึงความบริสุทธิ์อีก
แล้วบุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกจะรู้ได้อย่างไร ? เหตุที่รู้ก็เพราะว่าผู้ที่เข้าถึงจริง ๆ นั้น เมื่อสัมผัสกระแสนิพพานได้ จะรู้ได้เลยว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง พูดไปนี่เดี๋ยวไม่ทันกระผม/อาตมภาพ ก็ได้เพี้ยนกันไปข้างหนึ่งอีก..!
บุคคลที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะสัมผัสกระแสพระนิพพานได้ จึงรู้ว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากอยู่ที่ใจของเรา หรือจะบอกว่าอยู่ในทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก แม้ว่าจะไม่สามารถรู้เห็นหรือติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่มั่นใจในเรื่องพระนิพพานเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพระนิพพานเต็มอยู่ในจิตในใจของท่านเอง เอาไว้เดี๋ยวทำถึงก็จะเข้าใจ ถ้าอธิบายเป็นคำพูดนี้ยากมาก
สรุปว่าผู้ที่เข้าถึงมรรคถึงผล จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อเป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโตเท่านั้น ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รับการพยากรณ์ แต่ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าตนเองเข้าถึงแล้ว
แต่ด้วยความที่เป็นผู้ไม่ประมาท ก็จะไม่เชื่อว่าตนเองเข้าถึงจริง กฎเกณฑ์กติกาของความเป็นพระอริยเจ้ามีอย่างไร ก็พากเพียรทำไปเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าพยากรณ์ว่าได้แล้ว เราก็ขี้เกียจนอนทอดหุ่ย ไอ้นั่นเป็นไปตามกิเลสที่พวกคุณคิด แต่ว่าความจริงแล้ว ต่อให้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่เป็นปกติ ก็คือเป็นการไม่ประมาท ชำระจิตของตนให้สะอาดอยู่เสมออย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำตนเป็นแบบอย่างให้กับผู้อยู่ข้างหลัง ถึงเวลาเขาจะได้เดินตามรอยของตนเพื่อไปสู่พระนิพพานได้
ดังนั้น…ในเรื่องของพระนิพพาน ถ้าหากว่าพูดไป ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงเพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่สมมติที่เราจะมาจับได้ต้องได้ แต่เป็นวิมุตติ ที่สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔