“สงัดที่ใจ สงัดจากกิเลส”
ด้านสมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อมไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละ ให้จิตมันทรงสมาธิ ลืมตาอยู่อย่างนี้ให้จิตมันทรงตัว ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็นจริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคน คนตาย เห็นสัตว์ สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุพัง
แล้วก็นึกถึงว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน นี่ต้องถอยหน้าถอยหลัง อย่าก้าวไปแต่ข้างหน้าแล้วก็ไม่เหลียวหลัง
ท่านทั้งหลายที่ระงับความวุ่นวายของจิตไม่ได้นั่นน่ะเขาเรียกว่า
สีลพพตปรามาส เป็นผู้ลูบคลำในศีล
จิตตปรามาส ลูบคลำในสมาธิ
ปัญญาปรามาส ลูบคลำในวิปัสสนาญาณ
ทำเท่าไร ๆ ก็ไม่พ้นความวุ่นวายของจิต มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นโฉงเฉงโวยวายปราศจากเหตุผล คนประเภทนี้ทำกี่แสนกัปก็ลงนรก เพราะสักแต่ว่าปฏิบัติ สักแต่ว่าประพฤติ ไม่รู้จักที่จะพิจารณาจิตของตัวเองว่ามันดีหรือชั่ว นี่ถอยหลังไปถอยหลังมากันแค่นี้แหละ
ความจริงเขาถอยกันเป็นปกติ ย้อนไปย้อนมา สิ่งที่เรารักได้แล้วมันจะจริงมันละจริงหรือไม่ อารมณ์สมาธิที่ทรงได้แล้วทรงจริงหรือไม่
อย่าไปหาที่สงัดเสียง อย่าไปหาที่สงัดความวุ่นวาย จงหาความสงัดที่ใจ คือใจสงัดจากกิเลสนี่มันถึงจะถูก
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2545),38-39