You are currently viewing วิธีเจริญพุทธานุสสติ

วิธีเจริญพุทธานุสสติ

วิธีเจริญพุทธานุสสติ
พุทธานุสสติจัดเป็นระดับ 4 ระดับด้วยกัน
1. แบบพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า
▪️ อันดับแรกคือพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า โดยใช้คำว่า “อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ” เป็นต้น ใช้จิตใคร่ครวญในด้านของจริยาของพระองค์ สร้างความเลื่อมใสให้เกิด สร้างความภูมิใจให้เกิดในพระพุทธเจ้าอย่างนี้ผลจะพึงมีได้เพียงแค่ “อุปจารสมาธิ”
2. แบบเป็น “รูปฌาน”
▪️ถ้าเราจะทำพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌานสมาบัติ ท่านสอนให้จับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราพอใจ เวลาที่ภาวนาไปว่า “พุทโธ” หรือ “สัมมาอรหัง” ก็ตาม เราจะนึกถึงภาพนั้นเป็นอารมณ์ อย่างนี้ถือว่าเอาพระพุทธรูปเป็นกสิณ ถ้าปฏิบัติแบบนี้ก็สามารถทรงเข้าถึงฌานที่ 4 ได้ จัดว่าเป็น “รูปฌาน”
3. แบบเป็น “อรูปฌาน”
▪️ ถ้าจะทำพุทธานุสสติให้เป็นอรูปฌานเป็นสมาบัติ 8 ก็ให้จับภาพพระพุทธรูปนั้น ทรงอารมณ์จิตให้เข้าถึงฌาน 4 เมื่อทรงจิตสบายแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นทิ้งไป คือถอนภาพออกจากใจ พิจารณาอากาศ วิญญาณ ความไม่มีอะไรทั้งหมดและสัญญาหรือไม่มีสัญญา ที่เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือไม่พิจารณารูปเป็นสำคัญ ไม่ต้องการรูป ต้องการนามฝ่ายเดียว
เพราะท่านที่ปฏิบัติแบบนี้เพราะมีความรังเกียจในรูป ถือว่ารูปเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ เกิดไปชาติหน้าไม่ต้องการรูปอีก และเป็นสมถภาวนา จัดเป็น “อรูปฌาน”
4.แบบวิปัสสนาญาณ
▪️อันนี้เราต้องการจะใช้พุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นวิปัสสนาญาณ ท่านก็ให้ตั้งอารมณ์จิตของเรายึดภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ ทำภาพให้เห็นชัดด้วยจิตเป็นสมาธิถึงฌาน 4
แล้วก็สามารถจะบังคับรูปนั้นให้เล็กก็ได้ให้โตก็ได้ แล้วบังคับให้หายไปก็ได้เป็นไปตามความต้องการ บังคับให้รูปนั้นปรากฏขึ้นก็ได้หายไปก็ได้ สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ แล้วก็จับภาพนั้นเป็นอารมณ์ พิจารณาว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ความจริงพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด มนุษย์ผู้มีความอัศจรรย์ไม่มีบุคคลใดจะเสมอเหมือน
แต่ว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่มีชีวิตอยู่ก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ก็ไม่สามารถจัดทรงขันธ์ 5 ให้ยืนยงคงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็เกิดความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด
ทีนี้มานั่งมองดูตัวของเราเอง พิจารณาตัวของเราเองว่า พระพุทธเจ้าน่ะดีกว่าเราหลายล้านเท่า ความดีของเราได้จุดหนึ่งในหลายล้านเท่าของท่านก็ไม่ได้ ในเมื่อขันธ์ 5 ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่สามารถจะทรงอยู่ได้ เราซึ่งมีความดีไม่ถึง ขันธ์ 5 มันจะทรงอยู่ได้อย่างไร มันก็ต้องมีเกิดขึ้น มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2548),289,67-69