You are currently viewing “ผลของการปฏิบัติไม่เหมือนกัน”

“ผลของการปฏิบัติไม่เหมือนกัน”

“ผลของการปฏิบัติไม่เหมือนกัน”
บางท่านถ้าหากว่าเป็นวิสัยของพุทธภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านปฏิบัติเพื่อพุทธภูมิ คือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้จะต้องผ่านทุกอย่าง และแต่ละอย่างจะผ่านไปได้ก็ใช้เวลาช้า เพราะต้องเก็บความรู้สึกทุกอย่าง
ในขณะที่ผ่านปีติแต่ละอย่าง อันนี้ต้องจำไว้นะ ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา สำหรับสาวกภูมินี่ไม่แน่นัก บางท่านผ่านปีติต้นคือขนพองสยองเกล้าแล้ว ปีติอีก 4 อย่าง บางทีผ่านพรึ่บเดียวไม่รู้สึกตัวเลย ไปพบเข้าจริง ๆ เข้าปฐมฌานก็มี บางท่านก็ผ่านปีติเพียงปีติ 1 ปีติ 2
บางท่านไม่ได้ผ่านปีติต้น ความจริงอารมณ์มันผ่านแต่ว่าผ่านเร็ว ไปชนปีติตัวปลายเลยก็มี
ฉะนั้นเวลาอ่านตำราก็ต้องเข้าใจเพราะว่าไม่ได้เขียนไว้ว่า ทำไมอาการของปีติน่ะเขียนไว้ถึง 5 อย่าง แต่เวลาเราปฏิบัติมันเข้าถึงมันกระทบใจไม่ถึง 5 อย่าง อันนี้ต้องจำไว้เป็นพิเศษ
และอีกประการหนึ่งถ้าหากว่าในอดีตชาติเราเคยเป็นคนได้ฌานมาก่อน จะเป็นฌานที่ 1, ที่ 2, ที่ 3, ที่ 4 หรืออะไรก็ตาม นี่สมมุติว่าถ้าเราได้มาก่อนนะ ทีนี้ถ้าหากว่าเรามาเจริญสมาธิ เพียงแต่ผ่านขณิกสมาธิ คือสมาธิเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่งเข้าถึงปีติ อารมณ์ของจิตมันก็วิ่งเข้าไปชนฌานปลายเท่าที่ได้กันมาก่อน ถ้าเราได้มาก่อน
ทีนี้เราก็เลยไม่รู้ว่าไปพบ ฌานที่ 1, ที่ 2, ที่ 3, ที่ 4 มันเป็นอย่างไร นี่หมายความว่า สมมุติว่าเราได้ฌาน 4 นี่ต้องรู้ด้วยว่าการที่เขียนไว้และอธิบายว่าปีติมี 5 อย่าง แต่ละอย่างมีอาการเป็นอย่างไรก็ดี และอาการของสุขเป็นอย่างไรก็ดี
และฌานแต่ละอย่าง ที่จะพูดต่อไปมีอาการแบบไหนก็ดี นี่ต้องเข้าใจว่าเป็นลีลา และผลที่จะเกิดแก่ท่าน โดยเฉพาะท่านที่เรียกว่า “อาทิกัมมิกบุคคล”
คำว่า อาทิกัมมิกบุคคล หมายความว่า บุคคลผู้เริ่มต้นเจริญพระกรรมฐาน ซึ่งยังไม่เคยมีผลมาตั้งแต่อดีตชาติ
ตานี้ สำหรับท่านที่มีผลมาตั้งแต่อดีตชาติ ตัวอย่างท่านที่ได้ทิพจักขุญาณมาตั้งแต่ชาติก่อน พวกนี้รู้สึกว่าเวลาเขาทำพระกรรมฐานใช้เวลาไม่นาน บางทีเขามาเจริญพระกรรมฐานในขั้นต้น เพียงแค่ 2 วัน 3 วัน บางคนก็วันเดียว พอจิตจับอารมณ์ถึงอุปจารสมาธิ ทิพจักขุญานเกิดเลย เขาสามารถจะเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไรก็ได้ตามความประสงค์
ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่ใช่เป็นบุคคลที่เคยได้มาก่อน เมื่อเห็นผู้นั้นได้แบบนั้น มาคิดว่าไอ้เรานี่ไม่มีวาสนาบารมีอย่างนี้มันก็ไม่ถูก นั่นไม่ใช่สายของเรา ถ้าเป็นสายของเขาที่เขาได้มาก่อน พอมันชนกันเข้ามันก็ได้เลย
เพราะอะไร เพราะจิตเข้าถึงระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิพจักขุญาณจะเกิดในขณะที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ หากว่าเราจะได้ฌาน 4 หรือฌาน 8 ก็ตาม ถ้าเราต้องการอยากจะรู้อะไร อยากจะเห็นอะไร ก็ต้องถอยหลังจิตเข้ามาถึงอุปจารสมาธิ มันถึงจะเห็น
แต่ว่าที่ใช้กำลังฌานสูงได้ เพราะกำลังฌานสูงมีกำลังการทรงตัวมากก็ถึงอุเบกขารมณ์อารมณ์จิตผ่องใส
ทีนี้เวลาเราต้องการเห็นอะไร ในขณะถอยหลังจิตเข้ามาถึงอุปจารสมาธิมันก็เห็นง่าย ชัดเจนแจ่มใสกว่า จะพูดจะคุยกันก็ใช้เวลาได้นาน ตามกำลังฌานที่เราจะทรงได้อันนี้ขอท่านทั้งหลายเข้าใจตามนี้นะ ประเดี๋ยวจะไปสงสัยว่า นี่เราทำมาตั้งนานไม่เห็นมันได้
ทีนี้ไอ้ได้ฌาน ไม่ได้ฌาน ถ้าเราไม่รู้จักฌาน นี่มันก็ซวยหนักเหมือนกัน มันแบบว่าเขาใช้เราไปเลี้ยงควาย ไอ้เราไม่เคยรู้จักควาย ดีไม่ดีไปจับเอาหมามาเลี้ยงเข้า มันก็ไม่กินหญ้าแล้วมันต้องรู้จักควายว่าควายมันมีรูปร่างเป็นอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน มันจะได้ฌานไม่ได้ฌาน มันต้องรู้อาการของฌาน
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2524), ฉบับรวมเล่มปีที่ 2, 373- 375
Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง