You are currently viewing จิตทรงฌาน

จิตทรงฌาน

จิตทรงฌาน
คำว่า “จิตทรงฌาน” ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิทั้งวัน ไอ้นั่นน่ะมันบ้าแล้ว ถ้านั่งสมาธิทั้งวันนี่เป็นโรคประสาทเป็นบ้าแน่ คำว่า “สมาธิ” เขาแปลว่า ตั้งใจ ต้องทำกำลังใจเบาๆ
อันดับแรกที่สุดเราจะทำงานทำการต้องทำทุกอย่าง งานอะไรมีขึ้นต้องทำ ไม่ใช่ทำสมาธิแล้ว “ฉันไม่ทำงาน” อันนี้ตกนรกแน่ ไม่ช้าความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น ในเมื่อความปรารถนาเกิดขึ้นอารมณ์มันก็ฟุ้งซ่าน มีความเดือดร้อนเกิดการเดือดร้อนขึ้นมา จิตใจก็เดือดร้อนลงนรกไปเลย อย่านึกว่ามีฌานเป็นของดี ฌานน่ะดีแน่ แต่ทำให้มันถูก
คำว่า “ผู้ทรงฌาน” แปลว่า ผู้มีจิตใจปกติ จะไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์ อำนาจของนิวรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม จะไม่ให้มีอำนาจเหนือจิตใจ ยามว่าง ถ้าเรายังไม่เป็นอรหันต์ ย่อมมีนิวรณ์เข้ากินใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าเวลาต้องการฌานเมื่อใดนิวรณ์จะต้องกระเด็นออกทันที ถ้ากระเด็นบ่อยๆ ไม่ช้ามันก็ไม่เข้ามายุ่งกับใจ เราทำงานทำการทุกอย่างใจไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์ อย่าถือว่าทำฌานสมาบัติแล้ว ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ไอ้นั่นละตัวนรกละ ไม่ช้ามานะมันจะเกิด และจะกินที่ไหนล่ะ…. ไม่ทำตายโหงตายห่าล่ะ….! มันก็ต้องทำ ทำแล้วจิตใจไม่ตกอยู่ในอำนาจของนิวรณ์เท่านั้น
พระอรหันต์ท่านนั่งนิ่งที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านไม่นั่งนิ่ง ถ้าเราระงับนิวรณ์ได้ จิตเป็นฌานที่ ๑
จิตทรงปีติ ถ้าจิตทรงปีติมันเป็นฌานที่ ๒
จิตตัดปีติออกหลือแต่สุข จิตเป็นณานที่ ๓
จิตตัดสุขออกเหลือแต่เอกัคคตา อุเบกขา เป็นฌานที่ ๔
ที่นี้เวลาทรงฌานไม่ใช่นั่งสมาธิทั้งวัน ทำงานอยู่คุยอยู่กับเพื่อน อ่านหนังสืออยู่ ฟังเทป ฟังเทศน์ ดายหญ้าวัด ทำงานทุกอย่าง หุงข้าวหุงปลา ผ่าฟืนดายหญ้า จิตสบายใจ ไม่มีอารมณ์เป็นอกุศล อย่างนี้เรียกว่า “จิตทรงฌาน”
การที่จะรู้ว่าจิตทรงณาน เราจะรู้กันจริงๆ มันยากและวิธีวัดนี่ง่าย การที่จะรู้ว่าฌานเราทรงตัวไม่ทรงตัวอาศัย ๑ ในวิชชาสาม หรือว่า ๒ ในวิชชาสาม นั่นคือ “ทิพจักขุญาณ” หรือ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ”
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ทิพจักขุญาณอย่างเข้ม สามารถรู้เห็นพรหมเทวดาได้ อย่างนี้จุดหนึ่ง
กำลังมโนมยิทธิที่เราฝึกได้ เราทำได้เวลาดายหญ้า เวลาขุดดิน เวลาผ่าฟืน เวลาตักน้ำ หุงข้าว ใช้มันเวลานั้นแหละ ลองใช้เวลานั้น เวลาที่กำลังนั่งหุงข้าวอยู่ในครัว เวลาทำอยู่เราก็ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ นึกปั๊บ…ไอ้งานประเภทที่เราทำอย่างนี้เราทำมาแล้วกี่ชาติ ชาติก่อนๆ เราเคยทำไหม…ก็ดูภาพ ภาพมันจะปรากฏทันที อันนี้เรียกว่าเราชนะนิวรณ์ ต้องทำอย่างนี้
ถ้าไปเจอะหมาขี้เรื้อน ก็นึกว่าไอ้ภาพอย่างนี้เราเคยเป็นไหม ขอดูภาพ ภาพจะปรากฏทันทีโดยไม่ต้องไปใช้กำลังสมาธิให้เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที มันจะปรากฏกับใจ แหม….! หลายชาติ ชาติละหลายตัวเราเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนมาหลายชาติ
เราคุยไปคุยมา นั่งดายหญ้า นั่งผ่าฟืน นึกถึงเทวดา เทวดาท่านมีความสุข ก็นึก “เอ…เราเคยเป็นทวดาหรือเปล่า…!?” ถ้าเคยเป็น…ขอดูภาพเทวดา เคยเป็นกี่ชาติ ขอดูภาพเท่านั้น ขอดูวิมานเป็นที่อาศัย มันจะปรากฏทั้งตัวเราเองและวิมานในสมัยที่เป็นเทวดา
นี่เขาต้องทำกันอย่างนี้ อย่างนี้ถือว่าถึง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นี่อย่างย่อนะ คือการปฏิบัติมโนมยิทธิต้องทำแบบนี้
ถ้ายังต้องเข้าสมาธิ เครียด ยังใช้ไม่ได้ เวลาจะตายมันไม่ทันเวลาของนรก เวลาจะตายจริงๆ ไปนั่งขัดสมาธิได้ยังไง มันป่วยไข้ไม่สบาย ต้องใช้กำลังใจเป็นปกติ ญาณต่างๆต้องใช้ให้คล่อง คือ ใช้ทุกวัน ถ้าเราทิ้งไม่ใช้เพียงแค่ ๒-๓ วัน มันก็มีอารมณ์เฝือ