“การสอนกรรมฐานของหลวงพ่อปาน”
บรรดาท่านผู้ฟังจะได้จำไว้ จะได้รู้ว่าพระโบราณเขาสอนลูกศิษย์ของท่านยังไง การสอนของท่านท่านยึดกรรมฐาน 40 เป็นสำคัญ หรือมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างใดอย่างหนึ่งนี่แหละ แต่ว่าส่วนใหญ่ท่านใช้กรรมฐาน 40 เพราะว่าเป็นกรรมฐานละเอียด
สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตรนี้เป็นกรรมฐานเฉพาะบุคคล คือเฉพาะเหล่า เฉพาะอัธยาศัย ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่ามหาสติปัฏฐานสูตรนี้พระพุทธเจ้าแสดงเฉพาะชาวแคว้นกุรุรัฐเท่านั้น เพราะพวกนี้มีอัธยาศัยละเอียดจึงได้สอนเฉพาะ แต่ยังไม่เคยปรากฏในสถานที่ใดนอกจากแคว้นกุรุรัฐที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์มหาสติปัฏฐานสูตร
แต่ในที่อื่นส่วนใหญ่ท่านสอนกรรมฐาน 40 เพราะเป็นกรรมฐานละเอียด กรรมฐาน 40 นี้พระพุทธเจ้าทรงแยกอัธยาศัยบุคคลไว้ 6 อย่าง เรียกว่า “จริต” คืออารมณ์เป็นที่เที่ยวไปของจิตคือ
1. “ราคจริต” คนรักสวยรักงาม คำว่าราคจริตนี่ไม่ใช่มักมากในกามคุณนะ อย่าเข้าใจผิด เอาเพียงคนรักสวยรักงาม
2. “โทสจริต” คนเจ้าโมโหโทโส
3. “โมหจริต” คนโง่ คนหลง
4. “วิตกจริต” คนช่างคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด
5. “ศรัทธาจริต” เป็นคนเชื่อคนง่าย
6. “พุทธจริต” เป็นคนเฉลียวฉลาด
อันนี้หลวงพ่อปานท่านพูดเสมอว่า พระพุทธเจ้าทรงมีความรู้ละเอียด ท่านเป็นสัพพัญญูวิสัย แยกอารมณ์ของจิตไว้ 6 อย่าง นี่เป็นส่วนใหญ่ ๆ แต่ส่วนย่อย ๆ ยังมีมากกว่านี้ เอาเฉพาะส่วนใหญ่ ตอนนี้จะจริตอะไร ถ้าเกิดกับบุคคลใดมากก็ให้ทำกรรมฐานเป็นเครื่องฆ่าจริตนั้น ๆ เป็นการปราบปรามดูอารมณ์ของเรา เวลานี้มี
ราคจริต
รักสวยรักงาม เห็นคนนั้นก็สวย คนนี้ก็สวย มีความพอใจในเพศ เห็นสีสันวรรณะ เห็นสีติดสี ได้ยินเสียงติดเสียง กินอาหารติดในรส ถูกต้องติดใจในโผฐฐัพพะ คืออารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือสิ่งที่มากระทบกระทั่ง พอใจในอารมณ์ที่ชอบใจ อย่างนี้เรียกว่า ราคจริต เขาเรียกว่าติดสวย
พูดง่าย ๆ อะไรก็ต้องสวย อะไรก็ต้องมีระเบียบ คนที่ติดสวยอย่างนี้มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องถ่วงจิตไม่ให้เข้าถึงฌาน แล้วก็ไม่ให้เข้าถึงพระนิพพานคือความเป็นพระอริยเจ้า
ท่านก็สอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ คือให้เจริญอสุภกรรมฐาน พิจารณาทุกอย่างว่ามันไม่สวยตามความเป็นจริง ในการพิจารณาว่าไม่สวยนี่ไม่ใช่ฝืนนะ ไม่ใช่ว่าของสวยแล้วหาว่าไม่สวย ความจริงของในโลกนี้ไม่มีอะไรมันสวย ไปดูเถอะนางงามชายงามหญิงงามที่ไหนที่ว่าสวย ๆ ไปถามดูว่ามันมีขี้มีเยี่ยวไหมในท้อง เอาเท่านี้แหละ ไม่ต้องดูมาก
โทสจริต
ท่านให้เจริญเมตตาพรหมวิหาร หรือว่ากสิณ 4 โลหิตกสิณ (กสิณสีแดง) โอทาตกสิณ (กสิณสีขาว) นีลกสิณ (กสิณสีเขียว) ปีตกกสิณ (กสิณสีเหลือง) อย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวน 8 อย่างนี่ คือว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมวิหารหรือว่ากสิณ 4 อย่าง อันนี้เป็นเครื่องฆ่าโทสจริต จะทำให้จิตใจสงบสงัด
วิตกจริต , โมหจริต
นี่ถ้าหากว่าเป็นคนวิตกจริต กับโมหจริต ไอ้วิตกจริตน่ะความโง่ คิดตัดสินใจไม่ออก โมหจริตก็โง่ หลงไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู ขี้ก็ของกู เยี่ยวก็ของกู แล้วก็เศษไม้เศษไร่ เศษผ้าเศษผ่อนของกู ๆ ทั้งนั้น ไม่รู้จักว่ามันจะทำลาย ไม่รู้จักตามความเป็นจริง คนคิดสั้นแบบนี้ตัดสินใจไม่เด็ดขาด หวงแหนแบบนี้ท่านให้เจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
ศรัทธาจริต
นี่ตามแบบพระพุทธเจ้า คนมีศรัทธาจริตเชื่อง่ายให้เจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ แล้วจาคานุสสติ เทวตานุสสติอะไรอย่างนี้เป็นต้น
ให้เจริญอนุสสติ 6 นึกถึงความดีของท่านที่ทำความดีไว้ แล้วจะได้ปฏิบัติความดี เพราะพวกนี้เชื่อง่าย ถ้าหลงเชื่อใครพูดอะไรก็เชื่อ ในเมื่อเชื่อก็จะให้เชื่อตรงดีเลย จับความดีเข้ามาใช้
พุทธจริต
ทีนี้ถ้าเป็นพุทธจริตท่านก็ให้เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาอะไรพวกนี้ เป็นกรรมฐานที่ละเอียด เพราะพวกนี้เป็นพวกที่ฉลาด นี่ท่านสอนตามแนวของพระพุทธเจ้าจริง ๆ นี่พูดตามแนวนะ วิธีสอนท่านก็บอกไม่ให้เคร่งเครียดเกินไป ให้ใช้อิริยาบถตามสมควร
นี่รู้สึกว่าตอนมาดูพระไตรปิฎกทีหลัง รู้สึกว่าท่านตามแบบ ไม่ฝ่าฝืนพระพุทธเจ้าจริง ๆ
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2537)159,12-14
Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง