“การรู้วาระจิต”
การรู้วาระน้ำจิตของคนอื่น อันนี้ต้องฝึกรู้จิตตนเองด้วย ต้องหมั่นดูจิตของเราว่าจิตของเรามีสภาพปลอดโปร่ง มีความแจ่มใสใจสบาย กระแสจิตเป็นยังไงสีอะไรบ้าง มีความผ่องใสแค่ไหน
ถ้ารู้จักดูจิตของเราเอาไว้เสมอ ๆ ทุกวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าดูจิต ตอนสายนิดดูจิต ตอนบ่ายหน่อยดูจิต เผลอจากกิจการงานนิดหนึ่งก็ชำระจิตของเราให้มันผ่องใส
สังเกตดู…ถ้าจิตเราขุ่นมัวมีอารมณ์ไม่สบาย จิตสีมันดำหรือมีสีเทา ถ้ามันมีทุกข์มากสีดำมาก มีทุกข์น้อยสีดำน้อย ถ้ามีทุกข์นิดหน่อยสีเทา ถ้าจิตเป็นสีเทาก็ทิ้งอารมณ์นั้นเสียถือว่ามันเลวจัด
ถ้าหากเผอิญพบสิ่งที่เราดีใจสีของจิตจะแดง ถ้าเราดีใจมากแดงมาก ถ้าดีใจน้อยแดงน้อย สีแดงนี่เป็นปีติคือความดีใจ เราก็ถือว่าใช้ไม่ได้อีก เพราะอารมณ์ที่เราดีใจนี้มันเป็นโลกียวิสัย ถือว่าใช้ไม่ได้
จิตที่เราต้องการสีเดียวคือสีใสสะอาดเป็นแก้ว เหมือนแก้วที่ขัดดีแล้ว จิตมันเป็นอุเบกขาจิต คือจิตทรงอารมณ์เฉย ๆ ไม่ข้องแวะในด้านซ้ายและขวา คือไม่เมาในกุศลและก็ไม่เมาในอกุศล จิตทรงอุเบกขาคือจิตสบาย ๆ จิตมีอารมณ์เฉย
กระแสจิตนี่จำเป็นจะต้องพิจารณาให้มาก ใคร่ครวญให้มาก ชำระจิตให้มาก ถ้าเรารู้จักชำระจิตทุกวันไม่ช้ามรรคผลต่าง ๆ มันจะเกิด เพราะเราคอยจับผิดจิตอยู่ เราไม่ยอมให้จิตของเราสกปรก
ถ้าจิตของเราเป็นแก้วใสสะอาดที่ขัดดีแล้ว ก็ถือว่าเป็นจิตฌานโลกีย์ ก็ยังไม่ดีอีก ดีเหมือนกันแต่ก็ดีเหมือนกับคนได้ฌานโลกีย์ แต่มันก็ยังไม่พ้นนรก
ถ้าจิตของท่านใสสะอาดเพียงใด เวลาไปสวรรค์ พรหมโลก ไปนิพพาน ไปนรก ไปแดนเปรตอสุรกาย มันจะเห็นแจ่มใสตามกำลังของจิต แต่ว่าจิตที่มีสภาพเป็นแก้วใสยังดีไม่พอ มันขึ้น ๆ ลง ๆ ต้องพยายามขับกำลังจิตของท่าน ให้เป็นประกายพรึกเต็มดวงให้ได้
ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเต็มดวงเมื่อไร ก็เป็นอรหันต์เมื่อนั้น
ถ้าเป็นพระโสดาบันมันจะแพรวพราวขึ้นมาประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ รอบ ๆ ของจิต
ถ้าเป็นพระสกิทาคามีก็จะลึกเข้ามา 50 เปอร์เซ็นต์ ของจิต
ถ้าเป็นพระอนาคามีมันจะเป็นประกายแพรวพราว จะมีแกนจิตใสธรรมดานิดเดียว
ถ้าเป็นพระอรหันต์จิตจะเป็นประกายทั้งดวง เหมือนดาวประกายพรึก
ถ้าหากว่าคนของโลกียวิสัยถ้าเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นปุถุชนธรรมดากระแสจิตของบุคคลผู้นั้นจะเป็นสีทึบ อาจจะเป็นสีดำก็ได้ สีแดงหน่อย ๆ ก็ได้ สีขาวหายาก มักจะเป็นสีดำหรือสีแดงเรื่อ ๆ เป็นคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส
ถ้าเป็นคนผู้ทรงฌานโลกีย์ขนาดปฐมฌาน จิตข้างนอกจะมีความเลื่อมใส ประมาณสัก 25 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกับแก้วหุ้มเนื้อ หรือว่าเนื้อเป็นแก้วในวงรอบประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์
ถ้าเป็นฌานที่ 2 จะเป็นแก้วลึกลงไปประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ วงรอบจิตมีสภาพกลม และหากเป็นชั้นที่ 3 จะเป็นแก้วใสมาก จะเหลือเแกนนิดหน่อยส่วนกลาง
ถ้าหากจิตเป็นฌานที่ 4 เป็นแก้วใสสะอาดทั้งดวง อันนี้เราจะต้องรู้เรื่องสภาพของจิต ….
นี่เป็นอันว่าการรู้เรื่องของจิตเรียกว่า “เจโตปริยญาณ” ที่ท่านปฏิบัติแล้วต้องฝึกให้คล่อง แล้วก็ผลการฝึกให้คล่องมันเป็นเหตุทำให้เราได้เป็นพระอริยเจ้าเร็วเข้า
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2525),26,69-72
facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง